ประวัติ แกเร็ธ เบล

ประวัติ แกเร็ธ เบล

ชื่อเต็ม : แกเร็ธ แฟร้งค์ เบล 

เกิด : 16 กรกฎาคม 1989 (2532)

สถานที่เกิด : คาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์

สัญชาติ : เวลส์

ส่วนสูง : 185 เซนติเมตร

ตำแหน่ง : กองหน้า / ปีกขวา

สโมสรปัจจุบัน : เรอัล มาดริด

ประวัติ แกเร็ธ เบล เกิดที่เมือง คาร์ดิฟฟ์ เมืองหลวงของประเทศเวลส์ เป็นลูกชายของ แฟรงค์ เบล และเป็นหลานชายของ คริส เพคส์ อดีตผู้เล่นของ คาร์ดิฟฟ์ซิตี้ อีกด้วย โดยช่วงที่เจ้าตัวอายุได้ 9 ขวบ เจ้าตัวก็ได้รับความสนใจจากแมวมองของสโมสร เซาท์แธมป์ตัน หลังจากนั้น เบล ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนวิทเชิร์ช ไฮสคูล ในเมือง คาร์ดิฟฟ์ ที่ซึ่ง เบล ได้เล่นรักบี้, ฮ็อคกี้ และวิ่งระยะไกล ไปพร้อมกับการเล่นฟุตบอล โดยระหว่างที่เรียนที่วิทเชิร์ช เบลก็ได้ฝึกฝีเท้ากับสถาบันฟุตบอลของทีม เซาท์แธมป์ตัน ที่เมืองบาธ ไปด้วยพร้อมๆ กัน

หลังจากนั้น เบล เปิดตัว ลงสนามให้กับทีม “นักบุญ” เป็นครั้งแรกในปี 2006 ในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ด้วยวัยเพียง 16 ปี แม้ตอนนั้น เบล จะลงเล่นในตำแหน่ง แบ็กซ้าย แต่ชื่อเสียงเขาก็เริ่มกระฉ่อนขึ้น และได้รับการยอมรับในความเชี่ยวชาญด้านการยิงฟรีคิก ที่แม่นยำมาตั้งแต่เวลานั้น ขณะที่เกมสุดท้ายของเบล กับ เซาท์แธมป์ตัน เป็นเกมเพลย์ออฟ แชมเปี้ยนชิพ รอบรองชนะเลิศ กับดาร์บี้  เคาน์ตี้ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2007 แต่เจ้าตัวกลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในช่วงครึ่งหลังจนไม่สามารถฝืนเล่นต่อไปได้ โดยเขาทำไป 5 ประตู จากการลงเล่น 45 นัด ให้กับสโมสรแรกในชีวิต

จากฟอร์มที่ร้อนแรงจนน่าจับตามอง ทำให้ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ ปี 2007 ด้วยค่าตัวราว 7 ล้านปอนด์ ซึ่งเขาก็สร้างความประทับใจให้กับสโมสรใหม่ได้อย่างรวดเร็ว หลังทำได้ถึง 3 ประตู จาก 4 เกมแรกที่ลงสนาม ส่งผลให้เขากลายเป็นดาวรุ่งวัย 18 ปี ที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในเวลานั้น

หลังจากที่ เบล ย้ายมาเล่นในตำแหน่งปีกเต็มตัว ดาวเตะเลือดเวลส์ ก็สามารถยกระดับฝีเท้าของเขาอย่างต่อเนื่อง จนได้กลายเป็นตัวหลักของทีมจากลอนดอนเหนือ โดยในฤดูกาล 2011/12 เขายิงในลีกได้ถึง 10 ประตู แต่ทว่าจุดพีคของ เบลกับสเปอร์ส เกิดขึ้นในปีต่อมา เมื่อเขาโชว์ฟอร์มสุดร้อนแรง จนดังเป็นพลุแตกในฤดูกาล 2012/13 หลังซัดให้ทีมไปมากถึง 21 ประตู จากการลงเล่น 33 นัด ในศึกพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักเตะระดับแถวหน้า ขึ้นแท่น “ซูเปอร์สตาร์” อย่างเต็มตัว

จากฝีเท้าที่จัดจ้านเกินที่ใครจะหยุดยั้ง ทำให้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ไม่รอช้า จัดการกระชากตัว เบล ไปร่วมทัพในปี 2013 ด้วยค่าตัวราว 85.3 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นสถิติโลกในเวลานั้น ทำลายสถิติเดิมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่พวกเขาเคยทุ่มเงินซื้อมาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 80 ล้านปอนด์ ในปี 2009

ด้วยค่าตัวระดับสถิติโลก ทำให้ เบล ถูกคาดหวังให้เข้ามาเป็นแข้งคนสำคัญของทีม ซึ่ง เบล ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง เมื่อเขายังคงโชว์ฟอร์มได้เป็นอย่างดี และมีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เบล ช่วยพาทีมคว้าแชมป์ไปครองได้ถึง 4 ครั้ง ภายในเวลาเพียง 5 ปี

อย่างไรก็ดี นัดชิงชนะเลิศ ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ เบล น่าจะถูกจำจด และเป็นที่พูดถึงมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นแชมป์สมัยล่าสุดของ เบล ในซีซั่น 2017/18 ที่ เรอัล มาดริด พบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โดยเกมนั้น เบล ถูกกุนซือ ซีเนดีน ซีดาน ส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองของทีม ก่อนที่เขาจะโชว์ลูกยิงสุดจะเหลือเชื่อ ด้วยการตีลังกาจักรยานอากาศฟาดบอล เข้าประตูไปอย่างหมดจด ตามด้วยลูกส่องไกลอีกหนึ่งประตู ช่วยให้ยอดทีมจากมาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยติดต่อกันได้สำเร็จ และกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 13 ของสโมสร

ทว่าจากวันนั้น เส้นทางลูกหนังของ แกเร็ธ เบล กับ เรอัล มาดริด ที่ดูเหมือนว่าน่าจะกำลังไปได้สวย กลับต้องพลิกผัน เมื่อในซีซั่นถัดมา เบล เริ่มฟอร์มตก และการเล่นไม่สม่ำเสมอเหมือนเดิม ซีดาน จึงไม่ได้ให้โอกาสเขาลงสนามมากนัก ส่งผลให้ ปีกความเร็วสูง เริ่มไม่มีความสุขในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาบิว อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม อาชีพการค้าแข้งของ เบล ดูเหมือนว่าจะกลับสดใสอีกครั้ง เมื่อฤดูกาล 2020/21 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สังกัดเก่าของเขา ตัดสินใจที่จะดึงตัว เบล กลับมาเล่นในถิ่นเก่า ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล ซึ่งดูเหมือนว่า การได้คืนสู่เหย้าครั้งนี้ จะสามารถทำให้ยอดนักเตะรายนี้กลับมาเล่นฟุตบอลอย่างมีความสุขอีกครั้ง

แต่หลังจากที่ เบล หมดสัญญากับทาง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เบลก็ต้องกลับมาอยู่กับทาง เรอัล มาดริด ต้นสังกัดที่แท้จริงเช่นเดิม และในฤดูกาล 2021/22 จะเป็นฤดูกาลที่ เบล ไม่ค่อยได้มีโอกาสในการลงสนามมากนัก เนื่องจากเจ้าตัวติดปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด รวมไปถึงเจ้าตัวอาจจะไม่มีความสุขในการอยู่ที่เมืองมาดริด อีกแล้ว จนทำให้ฟอร์มที่เคยร้อนแรงเริ่มที่จะหายไป แต่สัญญาของ เบล กับ ราชันชุดขาว จะหมดลงหลังสิ้นฤดูกาล 2021/22 และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เบล จะไม่ต่อสัญญากับทีมออกไปอีก จึงทำให้ตอนนี้ เบล สามารถที่จะมองหาสโมสรใหม่ที่จะปลุกไฟและฟอร์มอันร้อนแรงในตัวเขากลับคืนมาให้ได้อีกครั้ง

ทีมชาติเวลส์

แกเร็ธ เบล ได้ลงเล่นให้ ทีมชาติเวลส์ ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2006 ด้วยวัยเพียง 16 ปี 10 เดือน 11 วัน ซึ่งได้กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเวลส์ ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นกำลังหลักของทัพ “มังกรแดง” ในเวลาต่อมา

แม้ผลงานของ เบลกับทีมชาติ จะไม่เปรี้ยงปร้างมากนัก และไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ กับทีมชาติได้เลย เนื่องจาก เวลส์ ไม่ได้เป็นชาติมหาอำนาจในด้านของเกมลูกหนัง ทว่าความสำเร็จสูงสุดที่ เบล เคยทำให้กับชาติของเขา คือ การสร้างเซอร์ไพรส์ พาทีมทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ในศึก ยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส ทั้งที่พวกเขาเพิ่งจะได้เข้าร่วมการแข่งขันยูโร รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก โดย เบล ช่วยทีมยิงไป 3 ประตู ในทัวร์นาเม้นต์นี้

ถึงแม้ว่าสุดท้าย พวกเขาจะต้องพ่ายให้กับ โปรตุเกส ทีมแชมป์ของการแข่งขันครั้งนั้น 0-2 ในรอบรองชนะเลิศ แต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่า มันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพวกเขาในเวทีระดับทวีปเลยทีเดียว